พืชกัญชาที่ถูกนำมาจัดแสดงและจำหน่ายในเทศกาล Thailand: 420 Legalaew! ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองการผ่อนกฏหมายเกี่ยวกับพืชกัญชา ในจังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2565 ( AFP / Lillian SUWANRUMPHA)

ผู้เชี่ยวชาญโต้ภาพอินโฟกราฟฟิกเปรียบเทียบ ประโยชน์ของกัญชา และ อันตรายของแอลกอฮอล์

  • บทความนี้มีอายุมากกว่า 1 ปี
  • เผยแพร่ วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 เวลา 06:45
  • อัพเดตแล้ว วันที่ 12 กรกฎาคม 2022 เวลา 06:50
  • ใช้เวลาอ่านประมาณ 1 นาที
  • เขียนโดย: AFP ประเทศไทย
หลังจากที่ประเทศไทยประกาศว่าจะผ่อนคลายกฏหมายควบคุมพืชกัญชาในเดือนมิถุนายน 2565 หลายโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้แชร์ภาพอินโฟกราฟฟิกที่นำประโยชน์ของกัญชามาเปรียบเทียบกับอันตรายของแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเตือนว่าคำกล่าวอ้างนี้ทำให้เข้าใจผิด แม้ว่าสารสกัดจากกัญชาจะสามารถใช้รักษาทางการแพทย์ได้ในบางกรณี ภาพอินโฟกราฟฟิกนี้กล่าวอ้างถึงสรรพคุณของกัญชาเกินจริง
  

ภาพอินโฟกราฟฟิกนี้ได้ถูกโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2565 โดยเขียนคำบรรยายว่า “ข้อเท็จจริงที่เราควรรู้”

ภาพอินโฟกราฟฟิกดังกล่าวเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแอลกอฮอล์กับกัญชา

“แอลกอฮอล์: เสพติดง่ายกว่า กัญชา: เสพติดยาก”

“แอลกอฮอล์: ทำลายสุขภาพ กัญชา: รักษาสุขภาพ”

“แอลกอฮอล์: เหตุก่อมะเร็ง กัญชา: รักษามะเร็ง”

“แอลกอฮอล์: ผู้เสียชีวิต 400,000 คน/ปี กัญชา: ไม่เคยมีคนตาย”

“แอลกอฮอล์: เสียทรัพย์โดยเปล่าประโยชน์ กัญชา: คุ้มค่าราคาไม่แพง”

“แอลกอฮอล์: มีคนตายเพราะ Overdose รายวัน กัญชา: Overdose ไม่ทำให้เสียชีวิต”

“แอลกอฮอล์: ทำลายตัว สมอง เซลล์อื่นๆ กัญชา: ป้องกัน รักษา เสริมสร้างเซลล์”

“แอลกอฮอล์: เป็นพิษ กัญชา: เป็นตัวป้องกัน ซ่อมแซม รักษา”

“แอลกอฮอล์: แฮงค์ ปวดหัว ทรมาน กัญชา: หลับสบาย ยิ้มแย้ม คลายเครียด”

“แอลกอฮอล์: ต้นเหตุความรุนแรง ทะเลาะวิวาท กัญชา: อารมณ์ดี ยิ้มสงบ นอนหลับ”

Image
ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เฟซบุ๊ก ที่ทำให้เข้าใจผิด

  

ภาพอินโฟกราฟฟิกดังกล่าวถูกเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในไทย หลังจากมีการประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ ว่าพืชกัญชาจะถูกถอดออกจากรายการยาเสพติดผิดกฏหมาย

ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ในประเทศไทย ในขณะที่มีการผ่อนคลายกฏหมายควบคุมพืชกัญชาในเดือนมิถุนายน 2565  จากเดิมที่มีบทลงโทษที่เข้มงวด ปัจจุบันการปลูกและครอบครองพืชกัญชานั้นไม่ผิดกฏหมาย โดยผู้ปลูกต้องมีใบอนุญาตและผลิตภัณฑ์จากกัญชาต้องมีส่วนผสมของสาร THC ซึ่งมีฤิทธิ์ต่อประสาท ไม่เกิน 0.2%

ภาพอินโฟกราฟฟิกคล้ายๆ กัน ถูกแชร์พร้อมคำกล่าวอ้างเดียวกันทางเฟซบุ๊ก ที่นี่ นี่และนี่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่าข้อมูลในอินโฟกราฟฟิกดังกล่าวมีข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด โดยเลือกผลเสียของแอลกอฮอล์มาเปรียบเทียบกับผลในแง่บวกบางส่วนของกัญชา ซึ่งเหมือนกับการนำ “แพะกับแกะมาเปรียบเทียบกัน”

รศ.พญ.อดิศร์สุดา เฟื่องฟู กุมารแพทย์พัฒนาการเด็ก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การใช้กัญชาต่อเนื่องส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่ออวัยวะภายใน เช่นปอดและสมอง”

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายกับ AFP ว่าการใช้กัญชาอาจจะส่งผลต่อโครงสร้างสมองได้

“งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าการใช้กัญชาในระยะยาวจะส่งผลต่อสมองเราในส่วนของความจำและการเรียนรู้ได้ ” ธีระกล่าว

คำกล่าวอ้าง: กัญชา “เสพติดยากกว่า”

ข้อมูลบนเว็บไซต์สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institute of Health) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่ใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับสามรองจากยาสูบและแอลกอฮอล์

ทั้งแอลกอฮอล์และสารประกอบทางเคมีที่พบในพืชกัญชานั้นเป็รสารเสพติดทั้งคู่ และไม่ควรถูกนำมาเปรียบเทียบโดยตรง ธีระกล่าว

“เวลาเรารับสารเข้าไป ร่างกายจะมีอาการทดทาน และส่งส่งผลให้ผู้ใช้ต้องรับโดสที่สูงขึ้นเพื่อให้เกิดผลเท่าเดิม” เขาอธิบาย

คำกล่าวอ้าง: กัญชา “รักษาสุขภาพ”

ธีระระบุว่าแพทย์แผนปัจจุบันยังใช้กัญชาใน “วงที่จำกัดมาก” และใช้เป็นยาทดแทนในการรักษาเท่านั้น

ในประเทศไทย สาร cannabidiol หรือ CBD ได้รับการอนุมัติให้ใช้สำหรับการแพทย์ แต่อดิศร์สุดาอธิบายว่าคำกล่าวอ้างว่ากัญชา “รักษาสุขภาพ” เป็นเรื่องเท็จ

“การบอกว่ากัญชาดีต่อสุขภาพนั้นไม่ถูกต้องค่ะ” เธอกล่าว

คำกล่าวอ้าง: กัญชา “รักษามะเร็ง”

AFP ได้ตรวจสอบคำกล่าวอ้างที่ระบุว่ากัญชาสามารถรักษาโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ ได้ ที่นี่

พญ.ณิชา ซึงสนธิพร อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายกับ AFP ว่า สาร CBD ซึ่งเป็นสารสกัดที่ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้ทางการแพทย์  ถูกใช้เพื่อบรรเทาอาการข้างเคียงเช่นการคลื่นไส้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งขณะทำการรักษาแบบคีโม

อย่างไรก็ตามสาร CBD ในกัญชานั้น “ไม่ใช่การใช้เพื่อรักษามะเร็งโดยตรง” เธอกล่าว

อดิศร์สุดากล่าวว่า “ในประเทศไทย กัญชาทางการแพทย์ได้รับการอนุมัติสำหรับการใช้รักษาเด็กในสองกรณี เพื่อรักษาอาการชักรุนแรง และสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด”

คำกล่าวอ้าง: กัญชา “ไม่ทำให้เสียชีวิต”

แถลงการณ์ของกระทรวงสาธารณสุขของไทยเมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม 2565 เจ้าหน้าที่พบผู้ป่วยเกี่ยวกับกัญชาเก้าคนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 21 ถึง 30 มิถุนายน 2565 หลังจากมีการผ่อนคลายกฏหมายควบคุมกัญชา

อดิศร์สุดาอธิบายว่าผลกระทบของการได้รับสารสกัดจากกัญชาเกินขนาด (overdose) จะมีผลที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่กรณี และสามารถมีอาการรุนแรงถึงชีวิตได้ในกรณีที่คนๆ นั้นมีอาการแพ้รุนแรง

“กัญชาทำให้ผู้ใช้เห็นภาพหลอนและมีอาการหวาดระแวง ขณะที่ในเคสที่หนักจริงๆ ผู้ใช้มีอาการกระวนกระวาย และทำร้ายผู้อื่นหรือตัวเอง”

ธีระกล่าวเช่นกันว่าคำกล่าวอ้างนี้เป็นเท็จ พร้อมอ้างถึงรายงานในรัฐโอเรกอนของประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 2558 ถึง 2560 ซึ่งได้บันทึกว่าชายวัย 70 หนึ่งคนเสียชีวิตหลังจากมีอาการปวดแน่นหน้าอกภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังสูดสารสกัด THC

พบเนื้อหาที่คุณต้องการให้เอเอฟพีตรวจสอบ?

ติดต่อเรา