ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ พูดเกี่ยวกับโรคออทิสติกในห้องรูสเวลต์ของทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 (AFP / SAUL LOEB)

ผู้เชี่ยวชาญยืนยันการใช้ยาแก้ปวดระหว่างตั้งครรภ์ไม่มีความเชื่อมโยงกับโรคออทิสติกในเด็ก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยข้อค้นพบใหม่ในงานแถลงข่าวพิเศษที่ทำเนียบขาวว่า การใช้อะเซตามิโนเฟนซึ่งเป็นตัวยาหลักของยาแก้ปวดยี่ห้อไทลินอลมีความเชื่อมโยงกับการเกิดโรคออทิสติกในเด็ก ด้านแพทย์และองค์กรสาธารณสุขรีบออกมาโต้กลับว่าไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างเท็จของทรัมป์ รวมถึงยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นหนึ่งในยาแก้ปวดที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์

"อะเซตามิโนเฟน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อยาไทลินอล หากใช้ขณะตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เด็กเป็นโรคออทิสติกสูงขึ้นอย่างมาก" ทรัมป์กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568

"ดังนั้น การรับประทานไทลินอลจึงไม่ใช่เรื่องดี"

คำกล่าวอ้างของทรัมป์ถูกนำไปแชร์ในโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ในภาษาไทยและอังกฤษ โดยบางโพสต์กล่าวว่าในที่สุดหลักฐานที่ถูกปกปิดเอาไว้อย่างยาวนานก็ได้รับการรับรองจากทำเนียบขาว

Image
ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เท็จ บันทึกภาพเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568

โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข สัญญาไว้ว่าเขาจะประกาศสาเหตุของโรคออทิสติกภายในเดือนกันยายน ทำให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเนื่องจากเขามีประวัติเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ  "ภาวะระบาดใหญ่ของโรคออทิสติก" ก่อนหน้านี้ 

ในงานแถลงข่าวที่มีทั้งเคนเนดีและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ระดับสูงเข้าร่วม ปธน. ทรัมป์กล่าวโจมตียาไทลินอลซ้ำ ๆ และยังอ้างว่าไม่พบโรคออทิสติกในชุมชนชาวคริสต์โบราณอย่างอามิช เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธการใช้อะเซตามิโนเฟนและไม่ยอมรับการฉีดวัคซีน 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายรายบอกกับ AFP ว่าคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับชุมชนอามิชของทรัมป์นั้นไม่ถูกต้องเนื่องจากมีการพบโรคออทิสติกในชุมชนดังกล่าว พร้อมระบุด้วยว่าข้อมูลการวินิจฉัยโรคออทิสติกมีจำนวนต่ำกว่าตัวเลขจริง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จากชุมชนดังกล่าวปฏิเสธการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่

องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาโต้ตอบคำกล่าวอ้างของทรัมป์ด้วยแถลงการณ์เมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ระบุว่า "ไม่พบความเชื่อมโยงที่สอดคล้องกัน" ระหว่างอัตราการเกิดโรคออทิสติกและการใช้ยาแก้ปวดระหว่างตั้งครรภ์ (ลิงก์บันทึก

แถลงการณ์ของหน่วยงานสาธารณสุขของแคนาดา  สหภาพยุโรป รวมถึงสหราชอาณาจักรระบุในทิศทางเดียวกันว่า ไม่มีหลักฐานที่สรุปได้ว่าอะเซตามิโนเฟนเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะออทิสติกของทารกในครรภ์ (ลิงก์บันทึกที่นี่  นี่ และนี่

หน่วยงานเหล่านี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอะเซตามิโนเฟนถือเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่ปลอดภัยที่สุดชนิดหนึ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ในขณะที่ยาแก้ปวดอื่น ๆ อย่างเช่น แอสไพรินและไอบูโพรเฟนนั้นได้รับการยืนยันว่ามีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์โดยเฉพาะในช่วงใกล้คลอด

นักวิจัยเกี่ยวกับภาวะออทิสติกเตือนว่าคำพูดของทรัมป์อาจสร้างความตื่นกลัวในบรรดาผู้ปกครองโดยไม่จำเป็น และยังเป็นการตีตรากลุ่มผู้ป่วยออทิสติกในกลุ่มอาการต่าง ๆ ยิ่งกว่าเดิม

"ความเชื่อมโยงระหว่างอะเซตามิโนเฟนและออทิสติกตั้งอยู่บนฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่จำกัด ขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกัน และด่วนสรุปเกินไป" อลิเซีย ฮัลลาเดย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของมูลนิธิวิทยาศาสตร์ออทิสติก ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์เมื่อวันที่ 22 กันยายน (ลิงก์บันทึก

ไม่พบความเชื่อมโยง

ข่าวประชาสัมพันธ์ของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS) และคำแนะนำแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่หลังการแถลงข่าวของรัฐบาล แนะนำข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาแก้ปวดด้วยภาษาที่รอบคอบมากกว่าคำกล่าวอ้างของทรัมป์ (ลิงก์บันทึกที่นี่ และนี่

HHS กล่าวว่า "จะดำเนินการ" ตาม "ผลการวิจัยทางคลินิกและห้องปฏิบัติการที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ที่เกิดจากการใช้อะเซตามิโนเฟนระหว่างตั้งครรภ์" ขณะที่เอกสารของ FDA ระบุว่า "แพทย์ควรพิจารณาลดการแนะนำ" การใช้ยาดังกล่าว แต่ไม่มีข้อความที่ระบุว่าไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ในเอกสารทั้งสองฉบับ

แพทย์หลายรายบอกกับ AFP ว่างานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างออทิซึมและอะเซตามิโนเฟนระหว่างตั้งครรภ์นั้น ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความเชื่อมโยงดังกล่าวได้ 

โมนีค โบธา นักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องออทิซึมจากมหาวิทยาลัยเดอรัม (ลิงก์บันทึก) บอกกับ AFP ว่า "ข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุดที่เรามีถึงปัจจุบัน" คืองานวิจัยในปี 2567 ที่ศึกษาอัตราการเกิดโรคออทิสติกในเด็กสวีเดนจำนวน 2.5 ล้านคน ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (ลิงก์บันทึก

ผลการวิจัยมีข้อสรุปว่า "การใช้อะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของเด็กที่จะเป็นโรคออทิซึม โรคสมาธิสั้น หรือภาวะบกพร่องทางสติปัญญา" ซึ่งตรงกันข้ามกับคำกล่าวอ้างของทรัมป์อย่างสิ้นเชิง

คำแนะนำเรื่องการปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อะเซตามิโนเฟนไม่ใช่เรื่องใหม่ ในปี 2564 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการใช้ยานี้ ได้ออกมาสรุปว่าสตรีมีครรภ์ควรรับทราบว่าไม่ควรใช้อะเซตามิโนเฟน ยกเว้นกรณีที่แพทย์แนะนำ (ลิงก์บันทึก)

รอด มิตเชลล์ ศาสตราจารย์สาขากุมารเวชศาสตร์ต่อมไร้ท่อจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยดังกล่าว (ลิงก์บันทึก) กล่าวกับ AFP ว่า "ยาพาราเซตามอลอาจส่งผลต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในแง่ของการสืบพันธุ์และภาวะเจริญพันธุ์ในอนาคต" โดยอธิบายว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นนั้นยังไม่ชัดเจน

"โดยรวมแล้วหลักฐานที่มีอยู่ไม่ได้บ่งชี้ว่าพาราเซตามอลทำให้เกิดออทิซึม" เขากล่าว

Image
ยาแก้ปวดยี่ห้อไทลินอลในร้านขายยาในเทกซัส วันที่ 23 กันยายน 2568 (AFP / RONALDO SCHEMIDT)

หลักฐานที่ขัดแย้งกัน 

สมาชิกฝ่ายบริหารของรัฐบาลทรัมป์มักอ้างถึงบทความปี 2568 ซึ่งรวบรวมผลการศึกษาจำนวน 40 ชิ้น ที่ให้ผลสรุปว่าพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้อะเซตามิโนเฟนระหว่างตั้งครรภ์กับโรคออทิสติก (ลิงก์บันทึกที่นี่ และนี่

โมนีค โบธา จากมหาวิทยาลัยเดอรัม กล่าวว่าบทวิเคราะห์นี้ใช้งานวิจัยเก่าหลายชิ้นที่พบข้อบกพร่องทางระเบียบวิจัย เช่น การไม่ได้การพิจารณาว่าพ่อแม่ของเด็กเป็นออทิสติกด้วยหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาปัจจัยด้านพันธุกรรมว่ามีผลต่อการพบออทิซึมหรือไม่นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง (ลิงก์บันทึก

นอกจากนี้ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านออทิซึมยังโต้แย้งต่อประกาศของทำเนียบขาวว่าบทวิจัยดังกล่าวไม่ได้พิจารณาว่าอาการไข้ระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งมักรักษาด้วยอะเซตามิโนเฟน เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดออทิซึมได้ (ลิงก์บันทึก

สตีเฟน คัปป์ อาจารย์อาวุโสด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธและสมาชิกกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้านออทิซึม (ลิงก์บันทึก) บอกกับศูนย์ข่าววิทยาศาสตร์ว่า "งานวิจัยที่อ้างว่าพบความเชื่อมโยงนั้น ไม่ได้แยกแยะว่าความสัมพันธ์กับสาเหตุไม่ใช่สิ่งเดียวกัน" (ลิงก์บันทึก)

FDA ระบุในเอกสารว่า "แม้ว่าจะมีการระบุว่าพบความเชื่อมโยงระหว่างอะเซตามิโนเฟนและออทิซึมในงานวิจัยหลายชิ้น แต่ก็ยังไม่พบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุโดยตรงของโรค และยังมีบทวิเคราะห์งานวิจัยวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ให้ผลขัดแย้งกันอีกด้วย"

การรับประทานอะเซตามิโนเฟนเกินขนาดมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการใช้ยาอื่น ๆ ดังนั้น สตรีมีครรภ์จึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณและวิธีใช้ยาดังกล่าวเสมอ (ลิงก์บันทึกที่นี่ และนี่

อ่านรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของ AFP เกี่ยวกับประเด็นสุขภาพที่นี่

พบเนื้อหาที่คุณต้องการให้เอเอฟพีตรวจสอบ?

ติดต่อเรา