เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินลาดตระเวนหน้าศาลฎีกาสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 ( AFP / SAUL LOEB)

ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐฯ

ลิขสิทธิ์ AFP 2560-2566 ขอสงวนลิขสิทธิ์

คำกล่าวอ้างที่ระบุว่าศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้ “ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกา” ภายหลังการ “ฟ้องร้อง” ของ Robert F. Kennedy Jr. ได้ถูกแชร์ในโพสต์ทางเฟซบุ๊กอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้เป็นเท็จ ศาลฎีกาสหรัฐฯ ไม่เคยนำแนวทางเรื่องการบังคับฉีดวัคซีน ซึ่งมีการบังคับใช้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2448 มาพิจารณาใหม่ โดยในเดือนมกราคม 2565 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินคัดค้านเรื่องการบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับบริษัทที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปของประธานาธิปดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน

คำกล่าวอ้างนี้ ถูกโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565

คำบรรยายบางส่วนของโพสต์เขียนว่า  “#ด่วน: ..... ศาลฎีกาสหรัฐยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล ประกาศให้โลกรู้ว่ามนุษยชาติโดนหลอกมาตลอด 2 ปีนี้ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิค โปรดเตือนทุกคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และญาติพี่น้อง!”

“กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคนเนดี้ Robert F. Kennedy Jr. ชนะคดีนี้กล่าวว่า ควรหลีกเลี่ยงวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันCOVID ใหม่ในทุกกรณีและต้องหยุดทันที”

“วัคซีน coronavirus ไม่ใช่วัคซีน!เพราะ มันคือตัวก่อโรคเอง - จุลินทรีย์หรือไวรัสที่ถูกฆ่าหรือทำให้อ่อนลง แต่ทำให้ภูมิในร่างกายอ่อนแอลงด้วย มันทำให้เกิดปฏิกริยาแอนติบอดี้ต่อตนเอง ... เมื่อเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์แล้ว mRNA จะทำการโปรแกรม RNA / DNA ให้ผิดปกติ ซึ่งจะเริ่มสร้างโปรตีนอีกตัวหนึ่ง มาขัดขวางและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ในนิวเคลียสของ DNA” 

ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์เฟซบุ๊กที่ทำให้เข้าใจผิด

คำกล่าวอ้างเดียวกันถูกแชร์ทางเฟซบุ๊กที่นี่และนี่

คำกล่าวอ้างดังกล่าวถูกแชร์มาแล้วในหลายภาษาตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2564 ซึ่งรวมไปถึงอิตาลี เซอร์เบีย และอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้เป็นเท็จ

ข้อบังคับเรื่องการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ 

ณ ปัจจุบัน ในทั้ง 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา กฎหมายกำหนดให้การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อบางชนิด เป็นข้อบังคับเพื่อที่จะให้เด็กสามารถ “เข้าเรียนในโรงเรียนได้” จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการป้องกันสุขภาพอย่างเป็นทางการของประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้การฉีดวัคซีนยังเป็นข้อบังคับสำหรับผู้ที่ยื่นขอพำนักอาศัยถาวรในสหรัฐฯ

แต่รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกามีอำนาจในทางกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ภายในรัฐต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ ในกรณีที่ประชาชนปฏิเสธการฉีดวัคซีน รัฐสามารถปรับหรือแม้แต่ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเข้าถึงบริการสาธารณะบางประการได้

อย่างไรก็ตาม ทุกรัฐจะมี “ข้อยกเว้นทางการแพทย์” เช่น ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้วัคซีน เป็นต้น ขณะที่บางรัฐยังอนุญาตให้มีข้อยกเว้นด้วยเหตุผลทางศาสนาหรือทางหลักปรัชญา ตามรายงานของการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (National Conference of State Legislatures) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รวบรวมการออกกฎหมายระดับรัฐทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกา

อำนาจการบังคับให้ฉีดวัคซีนในระดับรัฐ มีขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) จากคดีจาคอบสัน วี. แมสซาชูเซตส์ (Jacobson c. Massachusetts) ซึ่งศาลฎีกาสหรัฐฯ อนุมัติว่ารัฐมีอำนาจในการออกกฏหมายการบังคับฉีดวัคซีน

ในปี พ.ศ. 2445 ศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาต่อบุคคลที่ปฏิเสธที่จะรับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ (small pox) ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ท่ามกลางการระบาดของโรคดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดกฎข้อบังคับที่บังคับใช้ในรัฐหนึ่ง ศาลสูงสุดของสหรัฐจึงพิพากษาว่า รัฐ “จะเป็นผู้ออกกฎหมายว่าด้วยการบังคับฉีดวัคซีน”

“หลายปีต่อมา ศาลสูงสุดอ้างถึงการตัดสินใจดังกล่าวนี้ เป็นแบบอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วสำหรับการเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญของกฎหมายในรัฐที่กำหนดให้เด็กต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อที่จะได้เข้าเรียนในโรงเรียน (Zucht v. King)” Wendy E. Parmet ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ American University และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุข อธิบายกับ AFP เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564

ประชาชนชาวนิวยอร์กเดินทางมาศูนย์ฉีดวัคซีน Javits Covid-19 เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2564 ( (AFP / Timothy A. Clary))

คำบรรยายบางส่วนในโพสต์ที่ทำให้เข้าใจผิด ระบุว่า “ศาลฎีกาได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล” อย่างไรก็ตามในเดือนมีนาคม 2564 บนเว็บไซต์ของศาลฎีกาสหรัฐฯ ไม่พบรายงานการพิพากษาดังกล่าว ซึ่งคำตัดสินทั้งหมดของศาลฎีกาสหรัฐฯ จะถูกบันทึกอยู่ภายใต้หัวข้อ “ความคิดเห็นศาล” สำหรับไฟล์ที่ใช้ตรวจสอบและภายใต้หัวข้อ “คำสั่งศาล” สำหรับการอ้างอิงคำสั่งศาล

“เท่าที่ฉันทราบ ศาลฎีกาไม่ได้มีคำตัดสินเกี่ยวกับการยกเลิกข้อบังคับการวัคซีนเมื่อเร็วๆ นี้” Wendy กล่าวในเดือนเมษายน 2564 “คือ ดิฉันยังไม่ได้ยินเรื่องการตัดสินของศาลฎีกาเมื่อเร็วๆ นี้เรื่องที่เกี่ยวกับแบบอย่างแนวทางด้านวัคซีน อย่างไรก็ตาม เฉพาะคดีอื่นในศาลฎีกาเท่านั้น ที่จะสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างสำหรับการตัดสินของศาลฎีกา” Wendy กล่าว

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ ลงมติ ไม่รับรองการตัดสินใจของ โจ ไบเดน ในการบังคับมาตรการวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทที่จ้างพนักงานมากกว่า 100 คนขึ้นไป ซึ่งถือว่าส่งผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามในการควบคุมการระบาดของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต

ขณะที่ทางฝั่งศาลสูง (high court) รับรองข้อตกลงผูกพันของการฉีดวัคซีนให้กับพนักงานที่ร่วมโครงการสาธารณสุขที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนของรัฐบาลกลาง

หลังจากที่โจ ไบเดน พยายามโน้มน้าวกลุ่มคนที่ยังลังเลเรื่องการฉีดวัคซีนมาเป็นเวลาหลายเดือน เขาได้ประกาศในเดือนกันยายนว่าเขาต้องการจะบังคับใช้มาตรการที่ทำให้การฉีดวัคซีนเป็นข้อจำเป็นสำหรับพนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ บุคคลสาธารณสุข และข้าราชการพลเรือน

ในดินแดนแห่งเสรีภาพส่วนบุคคลนั้น การตัดสินใจของเขาถูกสมาชิกพรรคริพับลิกันและบางส่วนของภาคเศรษฐกิจตีตราทันทีว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต

ศาลสูงสุดมีท่าทีที่เห็นด้วยกับพวกเขา อย่างน้อยในส่วนที่จะมีผลกระทบต่อลูกจ้างกว่า 84 ล้านคนที่ทำงานให้กับบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป

โรเบิร์ต ฟรานซิส เคนเนดี จูเนียร์

คำกล่าวอ้างในโพสต์ดังกล่าวระบุว่าการท้าทายมาตรการบังคับฉีดวัคซีนดังกล่าว “ถูกฟ้องโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคนเนดี Robert F. Kennedy Jr” อย่างไรก็ตาม Robert F. Kennedy Jr.  ซึ่งเป็นหลานของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ John Fitzgerald Kennedy และบุตรชายของอดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม Robert F. Kennedy ไม่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ

เขาเป็นทนายที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม และเป็นที่รู้จักจากจุดยืนในการต่อต้านวัคซีน ซึ่งเขาได้แสดงจุดยืนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมากตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของเชื้อไวไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่

อัยการ Robert F. Kennedy Jr. ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ( (AFP / Angela Weiss))

สำนักข่าว AFP ได้ตรวจสอบคำกล่าวอ้างของ Robert Francis Kennedy Junior มาแล้วก่อนหน้านี้ที่นี่และนี่ โดยบัญชีอินสตาแกรมของทนายคนนี้ถูกปิดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แถลงการณ์ของสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ อธิบายว่าบัญชีดังกล่าวได้ แชร์คำกล่าวอ้างเท็จเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครอบครัวของเขาก็ถอยห่างออกจากท่าทีต่อต้านวัคซีนของเขา

วัคซีนชนิด mRNA ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง DNA

โพสต์ที่ทำให้เข้าใจผิดอ้างว่า “เป็นครั้งแรกในระวัติศาสตร์ของการฉีดวัคซีนที่เรียกว่าวัคซีน mRNA ทั้งเก่า และ รุ่นล่าสุด  เพราะเป็นการรบกวนสารพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนสารพันธุกรรมส่วนบุคคลซึ่งเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมีการห้ามไว้แล้วตามกฏหมาย และเคยถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรม”

คำกล่าวอ้างนี้ ซึ่งถูกแชร์อย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์จากทั่วโลก ได้ถูกตรวจสอบแล้วโดยสำนักข่าว AFP

Dr. Maria Victoria Sanchez จากห้องปฏิบัติการวิจัยภูมิคุ้มกันวิทยาและวัคซีน (IMBECU-CCT-CONICET) ในประเทศอาร์เจนตินา อธิบายเรื่องนี้ว่า "การถอดความข้อมูลทางพันธุกรรม (หรือ RNA) ไปสู่โปรตีนนั้น เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในไซโตพลาสซึม (cytoplasm) ไม่ใช่ในนิวเคลียส (nucleus) ของเซลล์" ซึ่งประกอบด้วย DNA ซึ่ง Sanchez กล่าวสรุปว่า "เมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ (mRNA) ไม่สามารถเข้าไปสู่ DNA ได้" เพราะมันไม่เคยเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์

ในร่างกายมนุษย์ "เส้นทางทางพันธุกรรมคือ: DNA ซึ่งถูกถอดรหัส (คัดลอก) ลงใน RNA (...) เราไม่เห็นโอกาสที่ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นในทางกลับกัน" Axel Kahn นักพันธุศาสตร์ชาวฝรั่งเศสกล่าว

"ในเซลล์ของมนุษย์นั้น RNA จะไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับ DNA ทางเดียวที่เป็นไปได้คือเกิดจาการติดเชื้อ retrovirus และในกรณีดังกล่าว RNA ของ retrovirus ต่างหากที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ (DNA) ของเรา" นักภูมิคุ้มกันวิทยา Jean-Daniel Lelièvre ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการการฉีดวัคซีนที่สำนักงานสูงสาธารณสุขแห่งประเทศฝรั่งเศส อธิบายระหว่างให้สัมภาษณ์กับ AFP 

การกล่าวว่า mRNA ซึ่งมาจากการฉีดวัคซีน เป็นการเปลี่ยนแปลง DNA นั้น เหมือนกันการกล่าวว่า เด็กสามารถให้กำเนิดแม่ของเขาได้  ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยา Jean-Daniel Lelièvre กล่าวเปรียบเทียบ

mRNA ทำงานอย่างไร

เทคโนโลยี mRNA คือการฉีดที่ ให้ข้อมูลว่าจะสร้างโปรตีนเหล่านี้อย่างไร ศาสตราจารย์ Jean-Daniel Lelièvre อธิบายต่อ

ในกรณีของวัคซีน mRNA เช่นวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทอย่างไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค (Pfizer/BioNtech) และ โมเดอร์นา (Moderna) เราจะฉีดโมเลกุลที่ถูกออกแบบในห้องทดลองซึ่งจะทำให้เซลล์ของเราผลิตโปรตีน ที่เรียกว่า โปรตีนหนาม โดยส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ทำให้ไวรัสเข้าไปสู่เซลล์ของมนุษย์และทำให้เกิดการติดเชื้อ

เมื่อร่างกายเราจำได้ว่าโปรตีนส่วนนี้ ซึ่งเป็นโปรตีนหนามที่ไม่มีอันตราย ร่างกายของเราก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน ที่สามารถกำจัด Sars-CoV-2 ได้ในกรณีที่มีการติดเชื้อ