ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐฯ
คำกล่าวอ้างที่ระบุว่าศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้ “ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกา” ภายหลังการ “ฟ้องร้อง” ของ Robert F. Kennedy Jr. ได้ถูกแชร์ในโพสต์ทางเฟซบุ๊กอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้เป็นเท็จ ศาลฎีกาสหรัฐฯ ไม่เคยนำแนวทางเรื่องการบังคับฉีดวัคซีน ซึ่งมีการบังคับใช้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2448 มาพิจารณาใหม่ โดยในเดือนมกราคม 2565 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินคัดค้านเรื่องการบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับบริษัทที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปของประธานาธิปดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน
คำกล่าวอ้างนี้ ถูกโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565
คำบรรยายบางส่วนของโพสต์เขียนว่า “#ด่วน: ..... ศาลฎีกาสหรัฐยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล ประกาศให้โลกรู้ว่ามนุษยชาติโดนหลอกมาตลอด 2 ปีนี้ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิค โปรดเตือนทุกคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และญาติพี่น้อง!”
“กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคนเนดี้ Robert F. Kennedy Jr. ชนะคดีนี้กล่าวว่า ควรหลีกเลี่ยงวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันCOVID ใหม่ในทุกกรณีและต้องหยุดทันที”
“วัคซีน coronavirus ไม่ใช่วัคซีน!เพราะ มันคือตัวก่อโรคเอง - จุลินทรีย์หรือไวรัสที่ถูกฆ่าหรือทำให้อ่อนลง แต่ทำให้ภูมิในร่างกายอ่อนแอลงด้วย มันทำให้เกิดปฏิกริยาแอนติบอดี้ต่อตนเอง ... เมื่อเข้าไปในเซลล์ของมนุษย์แล้ว mRNA จะทำการโปรแกรม RNA / DNA ให้ผิดปกติ ซึ่งจะเริ่มสร้างโปรตีนอีกตัวหนึ่ง มาขัดขวางและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ในนิวเคลียสของ DNA”

คำกล่าวอ้างเดียวกันถูกแชร์ทางเฟซบุ๊กที่นี่และนี่
คำกล่าวอ้างดังกล่าวถูกแชร์มาแล้วในหลายภาษาตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2564 ซึ่งรวมไปถึงอิตาลี เซอร์เบีย และอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้เป็นเท็จ
ข้อบังคับเรื่องการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ
ณ ปัจจุบัน ในทั้ง 50 รัฐของสหรัฐอเมริกา กฎหมายกำหนดให้การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อบางชนิด เป็นข้อบังคับเพื่อที่จะให้เด็กสามารถ “เข้าเรียนในโรงเรียนได้” จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการป้องกันสุขภาพอย่างเป็นทางการของประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้การฉีดวัคซีนยังเป็นข้อบังคับสำหรับผู้ที่ยื่นขอพำนักอาศัยถาวรในสหรัฐฯ
แต่รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกามีอำนาจในทางกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ภายในรัฐต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ ในกรณีที่ประชาชนปฏิเสธการฉีดวัคซีน รัฐสามารถปรับหรือแม้แต่ห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเข้าถึงบริการสาธารณะบางประการได้
อย่างไรก็ตาม ทุกรัฐจะมี “ข้อยกเว้นทางการแพทย์” เช่น ในกรณีที่เด็กมีอาการแพ้วัคซีน เป็นต้น ขณะที่บางรัฐยังอนุญาตให้มีข้อยกเว้นด้วยเหตุผลทางศาสนาหรือทางหลักปรัชญา ตามรายงานของการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (National Conference of State Legislatures) ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รวบรวมการออกกฎหมายระดับรัฐทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกา
อำนาจการบังคับให้ฉีดวัคซีนในระดับรัฐ มีขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1905 (พ.ศ. 2448) จากคดีจาคอบสัน วี. แมสซาชูเซตส์ (Jacobson c. Massachusetts) ซึ่งศาลฎีกาสหรัฐฯ อนุมัติว่ารัฐมีอำนาจในการออกกฏหมายการบังคับฉีดวัคซีน
ในปี พ.ศ. 2445 ศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาต่อบุคคลที่ปฏิเสธที่จะรับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ (small pox) ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ท่ามกลางการระบาดของโรคดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดกฎข้อบังคับที่บังคับใช้ในรัฐหนึ่ง ศาลสูงสุดของสหรัฐจึงพิพากษาว่า รัฐ “จะเป็นผู้ออกกฎหมายว่าด้วยการบังคับฉีดวัคซีน”
“หลายปีต่อมา ศาลสูงสุดอ้างถึงการตัดสินใจดังกล่าวนี้ เป็นแบบอย่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วสำหรับการเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญของกฎหมายในรัฐที่กำหนดให้เด็กต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อที่จะได้เข้าเรียนในโรงเรียน (Zucht v. King)” Wendy E. Parmet ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ American University และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุข อธิบายกับ AFP เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564

คำบรรยายบางส่วนในโพสต์ที่ทำให้เข้าใจผิด ระบุว่า “ศาลฎีกาได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนสากล” อย่างไรก็ตามในเดือนมีนาคม 2564 บนเว็บไซต์ของศาลฎีกาสหรัฐฯ ไม่พบรายงานการพิพากษาดังกล่าว ซึ่งคำตัดสินทั้งหมดของศาลฎีกาสหรัฐฯ จะถูกบันทึกอยู่ภายใต้หัวข้อ “ความคิดเห็นศาล” สำหรับไฟล์ที่ใช้ตรวจสอบและภายใต้หัวข้อ “คำสั่งศาล” สำหรับการอ้างอิงคำสั่งศาล
“เท่าที่ฉันทราบ ศาลฎีกาไม่ได้มีคำตัดสินเกี่ยวกับการยกเลิกข้อบังคับการวัคซีนเมื่อเร็วๆ นี้” Wendy กล่าวในเดือนเมษายน 2564 “คือ ดิฉันยังไม่ได้ยินเรื่องการตัดสินของศาลฎีกาเมื่อเร็วๆ นี้เรื่องที่เกี่ยวกับแบบอย่างแนวทางด้านวัคซีน อย่างไรก็ตาม เฉพาะคดีอื่นในศาลฎีกาเท่านั้น ที่จะสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างสำหรับการตัดสินของศาลฎีกา” Wendy กล่าว
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ ลงมติ ไม่รับรองการตัดสินใจของ โจ ไบเดน ในการบังคับมาตรการวัคซีนโควิด-19 กับบริษัทที่จ้างพนักงานมากกว่า 100 คนขึ้นไป ซึ่งถือว่าส่งผลกระทบอย่างมากต่อความพยายามในการควบคุมการระบาดของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต
ขณะที่ทางฝั่งศาลสูง (high court) รับรองข้อตกลงผูกพันของการฉีดวัคซีนให้กับพนักงานที่ร่วมโครงการสาธารณสุขที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนของรัฐบาลกลาง
หลังจากที่โจ ไบเดน พยายามโน้มน้าวกลุ่มคนที่ยังลังเลเรื่องการฉีดวัคซีนมาเป็นเวลาหลายเดือน เขาได้ประกาศในเดือนกันยายนว่าเขาต้องการจะบังคับใช้มาตรการที่ทำให้การฉีดวัคซีนเป็นข้อจำเป็นสำหรับพนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ บุคคลสาธารณสุข และข้าราชการพลเรือน
ในดินแดนแห่งเสรีภาพส่วนบุคคลนั้น การตัดสินใจของเขาถูกสมาชิกพรรคริพับลิกันและบางส่วนของภาคเศรษฐกิจตีตราทันทีว่าเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต
ศาลสูงสุดมีท่าทีที่เห็นด้วยกับพวกเขา อย่างน้อยในส่วนที่จะมีผลกระทบต่อลูกจ้างกว่า 84 ล้านคนที่ทำงานให้กับบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป
โรเบิร์ต ฟรานซิส เคนเนดี จูเนียร์
คำกล่าวอ้างในโพสต์ดังกล่าวระบุว่าการท้าทายมาตรการบังคับฉีดวัคซีนดังกล่าว “ถูกฟ้องโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยวุฒิสมาชิกเคนเนดี Robert F. Kennedy Jr” อย่างไรก็ตาม Robert F. Kennedy Jr. ซึ่งเป็นหลานของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ John Fitzgerald Kennedy และบุตรชายของอดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม Robert F. Kennedy ไม่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ
เขาเป็นทนายที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม และเป็นที่รู้จักจากจุดยืนในการต่อต้านวัคซีน ซึ่งเขาได้แสดงจุดยืนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมากตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของเชื้อไวไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่

สำนักข่าว AFP ได้ตรวจสอบคำกล่าวอ้างของ Robert Francis Kennedy Junior มาแล้วก่อนหน้านี้ที่นี่และนี่ โดยบัญชีอินสตาแกรมของทนายคนนี้ถูกปิดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 แถลงการณ์ของสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ อธิบายว่าบัญชีดังกล่าวได้ แชร์คำกล่าวอ้างเท็จเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครอบครัวของเขาก็ถอยห่างออกจากท่าทีต่อต้านวัคซีนของเขา
วัคซีนชนิด mRNA ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง DNA
โพสต์ที่ทำให้เข้าใจผิดอ้างว่า “เป็นครั้งแรกในระวัติศาสตร์ของการฉีดวัคซีนที่เรียกว่าวัคซีน mRNA ทั้งเก่า และ รุ่นล่าสุด เพราะเป็นการรบกวนสารพันธุกรรมของผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นการเปลี่ยนสารพันธุกรรมส่วนบุคคลซึ่งเป็นการดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมีการห้ามไว้แล้วตามกฏหมาย และเคยถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรม”
คำกล่าวอ้างนี้ ซึ่งถูกแชร์อย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์จากทั่วโลก ได้ถูกตรวจสอบแล้วโดยสำนักข่าว AFP
Dr. Maria Victoria Sanchez จากห้องปฏิบัติการวิจัยภูมิคุ้มกันวิทยาและวัคซีน (IMBECU-CCT-CONICET) ในประเทศอาร์เจนตินา อธิบายเรื่องนี้ว่า "การถอดความข้อมูลทางพันธุกรรม (หรือ RNA) ไปสู่โปรตีนนั้น เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในไซโตพลาสซึม (cytoplasm) ไม่ใช่ในนิวเคลียส (nucleus) ของเซลล์" ซึ่งประกอบด้วย DNA ซึ่ง Sanchez กล่าวสรุปว่า "เมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ (mRNA) ไม่สามารถเข้าไปสู่ DNA ได้" เพราะมันไม่เคยเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์
ในร่างกายมนุษย์ "เส้นทางทางพันธุกรรมคือ: DNA ซึ่งถูกถอดรหัส (คัดลอก) ลงใน RNA (...) เราไม่เห็นโอกาสที่ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นในทางกลับกัน" Axel Kahn นักพันธุศาสตร์ชาวฝรั่งเศสกล่าว
"ในเซลล์ของมนุษย์นั้น RNA จะไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับ DNA ทางเดียวที่เป็นไปได้คือเกิดจาการติดเชื้อ retrovirus และในกรณีดังกล่าว RNA ของ retrovirus ต่างหากที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ (DNA) ของเรา" นักภูมิคุ้มกันวิทยา Jean-Daniel Lelièvre ซึ่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมการการฉีดวัคซีนที่สำนักงานสูงสาธารณสุขแห่งประเทศฝรั่งเศส อธิบายระหว่างให้สัมภาษณ์กับ AFP
การกล่าวว่า mRNA ซึ่งมาจากการฉีดวัคซีน เป็นการเปลี่ยนแปลง DNA นั้น เหมือนกันการกล่าวว่า เด็กสามารถให้กำเนิดแม่ของเขาได้ ศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยา Jean-Daniel Lelièvre กล่าวเปรียบเทียบ
mRNA ทำงานอย่างไร
เทคโนโลยี mRNA คือการฉีดที่ ให้ข้อมูลว่าจะสร้างโปรตีนเหล่านี้อย่างไร ศาสตราจารย์ Jean-Daniel Lelièvre อธิบายต่อ
ในกรณีของวัคซีน mRNA เช่นวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทอย่างไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค (Pfizer/BioNtech) และ โมเดอร์นา (Moderna) เราจะฉีดโมเลกุลที่ถูกออกแบบในห้องทดลองซึ่งจะทำให้เซลล์ของเราผลิตโปรตีน ที่เรียกว่า โปรตีนหนาม โดยส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ทำให้ไวรัสเข้าไปสู่เซลล์ของมนุษย์และทำให้เกิดการติดเชื้อ

เมื่อร่างกายเราจำได้ว่าโปรตีนส่วนนี้ ซึ่งเป็นโปรตีนหนามที่ไม่มีอันตราย ร่างกายของเราก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน ที่สามารถกำจัด Sars-CoV-2 ได้ในกรณีที่มีการติดเชื้อ