บุคคลาทางการแพทย์ได้รับขวดวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนในประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ( AFP / Ahmad Gharabli)

คำพูดของแพทย์ชาวอิสราเอลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ถูกตีความผิดในสื่อสังคมออนไลน์

  • บทความนี้มีอายุมากกว่า 1 ปี
  • เผยแพร่ วัน 29 ตุลาคม 2021 เวลา 10:51
  • ใช้เวลาอ่านประมาณ 2 นาที
  • เขียนโดย: AFP ประเทศไทย
คลิปวิดีโอหนึ่งได้ถูกแชร์ออกไปในหลายโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมคำกล่าวอ้างว่าแพทย์อิสราเอลออกมาเตือนว่าวัคซีนโควิด-19 ไม่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม โพสต์เหล่านี้ทำให้เข้าใจผิด ในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของแพทย์ชาวอิสราเอลเขากล่าวสนับสนุนการฉีดวัคซีน แต่คำพูดส่วนนั้นถูกตัดออกในโพสต์ทีทำให้เข้าใจผิด

คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ลงในทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 โดยมียอดรับชมมากถึง 1.3 ล้านครั้ง

โพสต์ดังกล่าวแสดงคลิปวิดีโอซึ่งถูกตัดออกมาจากการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของแพทย์ชาวอิสราเอล Kobi Haviv

คำบรรยายโพสต์แปลเป็นภาษาไทยว่า:

“95% ของผู้ป่วยอาการสาหัส เคยได้รับวัคซีนแล้ว
85-90% ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล คือคนที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
เรากำลังเปิดวอร์ดคนไข้โควิด-19 มากขึ้นเรื่อยๆ
ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง/จางลงเรื่อยๆ

(นายแพทย์ Kobi Haviv ก่อนหน้านี้ทางช่อง 13 @newsisrael13)”

Image
ภาพถ่ายหน้าจอของโพสต์ทวิตเตอร์ที่ทำให้เข้าใจผิด

คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกแชร์ออกไปในสื่อสังคมออนไลน์หลายช่องทาง เช่น เฟซบุ๊ก อิสตาแกรม ยูทูป และ เรตดิท ในหลายภาษา ซึ่งรวมไปถึงภาษาไทย ฝรั่งเศส สเปน เกาหลี และรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม โพสต์เหล่านี้ทำให้เข้าใจผิด

โพสต์ที่ถูกแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์นำส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มออกมาตีความในบริบทที่ผิด และละทิ้งบริบทสำคัญออก ซึ่งจริงๆ แล้วแสดงเขากำลังพูดสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19

บริบทสำคัญถูกตัดออก

การค้นหาด้วยคำสำคัญสามารถยืนยันได้ว่าผู้ชายในคลิปวิดีโอคือ นายแพทย์ Jacob “Kobi” Haviv ผู้อำนวยการโรงพยาบาล Herzog ในกรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล

คลิปวิดีโอที่ถูกแชร์ในโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ เป็นคลิปวิดีโอที่ตัดออกมาจากการสัมภาษณ์ฉบับเต็มซึ่งถูกเผยแพร่ทางช่อง 13 ของประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 โดยนายแพทย์ Haviv เริ่มให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ช่วงนาทีที่ 5:09 ของรายการ

ด้านล่างคือการเปรียบเทียบภาพถ่ายหน้าจอของคลิปวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิด (ซ้าย) และวิดีโอต้นฉบับของช่อง13 (ขวา):

Image
เปรียบเทียบภาพถ่ายหน้าจอของคลิปวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิด (ซ้าย) และวิดีโอต้นฉบับของช่อง13 (ขวา)

ในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม เขาพูดว่าเขาสนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 และบอกว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนเคสผู้ป่วยในโรงพยาบาลของเขานั้นเกิดจากประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่ลดลงตามเวลา

“โชคร้ายที่ประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 นั้นลดลงตามเวลา แต่ผมก็หวังว่าพวกเราจะได้ยินเรื่องการเรียกร้องขอฉีดวัคซีนบูสเข็ม 3 ให้แก่ประชาชน เพราะมันจะสามารถช่วยได้” เขากล่าวเป็นภาษาฮิบรู

คำบรรยายที่ทำให้เข้าใจผิด

โพสต์ที่ทำให้เข้าใจผิดอ้างว่า นายแพทย์ Haviv กล่าวว่า “95% ของผู้ป่วย เคยได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว” อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พูดประโยคดังกล่าวทั้งในการสัมภาษณ์ต้นฉบับ และคลิปย่อที่ถูกตัดบางส่วนมาเผยแพร่

แท้จริงแล้วเขาพูดว่า “ผู้สูงอายุส่วนมากได้รับวัคซีนแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่ก็ได้รับวัคซีนแล้ว และนี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมประมาณ 90% และ 85-90% ของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลที่นี่เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว”

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกล่าวว่าในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่อจำนวนประชากรที่สูง จะมีความเป็นไปได้ที่ประชาชนส่วนมากจะเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคโควิด-19 หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อภายหลังได้รับวัคซีน หรือ breakthrough infections

นอกจากนี้ โพสต์ดังกล่าวนำเสนอให้ดูเหมือนนายแพทย์ Haviv กำลังอธิบายสถานการณ์ของวัคซีนโควิด-19 ทั่วรวม ซึ่งในข้อเท็จจริง เขาพูดถึงแค่โรงพยาบาลของเขาเท่านั้น

คำกล่าวอ้างว่าแพทย์ดังกล่าวพูดว่า “85-90% ผู้ป่วยที่รักษาในโรงพยาบาลคือคนที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว” แต่ในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มเขาได้พูดคำว่า “etslenu” ซึ่งเป็นคำภาษาฮิบรูที่แปลว่า “ในโรงพยาบาลของเรา”

ประเด็นสุดท้ายที่ระบุว่านายแพทย์ Haviv กล่าวว่าประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 “ลดลง” ขาดบริบทที่สำคัญ

คลิปวิดีโอในโพสต์ที่ทำให้เข้าใจผิด นายแพทย์ Haviv พูดเป็นภาษาฮิบรูว่า “ประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ลดลง/จางลง”

ขณะที่ในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม เขาพูดเป็นภาษาฮิบรูว่า “โชคร้ายที่ ตามที่เราได้ยิน ประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 นั้นลดลง/จางลงตามเวลา ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ผมหวังว่าผู้คนจะได้ยินเรื่องการเรียกร้องให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สาม และเข็มที่สามจะสามารถช่วยได้”

วัคซีนเข็มที่สาม

เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2564 อิสราเอลได้เริ่มรณรงค์ให้ประชากรในกลุ่มผู้สูงอายุ เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มสาม

ในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 นายแพทย์ Haviv กล่าวว่าจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลนั้นลดลง เนื่องจากการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์

“ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นจำนวนผู้ป่วยที่ลดน้อยลง และเราหวังว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการรับวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่สาม วันนี้ไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าเข็มที่สามนั้นช่วยได้จริงๆ” เขากล่าวเป็นภาษาฮิบรู

นายแพทย์ Haviv สนับสนุนการฉีดวัคซีนโควิด-19 และได้เผยแพร่รูปภาพของเขาขณะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทางเพจเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลที่นี่

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2564 รัฐมนตรีสาธารณสุขของอิสราเอลกล่าวว่าประชากรกว่า 3 ล้านคนได้รับการวัคซีนโควิด-19 เข็มบูสเรียบร้อยแล้ว

ผู้เสี่ยงมากที่สุด คือคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

ในประเทศอิสราเอล ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงส่วนใหญ่คือกลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล ซึ่งอ้างอิงโดยหนังสือพิมพ์ Haaretz เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ระบุว่าผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 73% นั้นเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

ประเทศอิสราเอลเริ่มต้นการฉีดวัคซีน ให้กับประชาชนในประเทศในเดือนธันวาคม ปี 2563 และถือเป็นชาติแรกๆ ของโลกที่สามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรในประเทศเป็นวงกว้าง โดยภายหลังรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์โควิด-19 ในเดือนมิถุนายน 2564 พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน ทำให้ผู้เชี่ยวชาญพยายามหาสาเหตุว่ามาจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า หรือเป็นเพราะประสิทธิภาพวัคซีนไฟเซอร์ที่ลดลง 5 เดือนภายหลังการฉีดเข็มที่สอง โดยวัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนยี่ห้อเดียวที่รัฐบาลอิสราเอลฉีดให้กับประชากรในประเทศ

หลายสัปดาห์หลังรัฐบาลเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงเริ่มทรงตัว

กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลกล่าวในเดือนกรกฏาคม 2564 ว่า “ถือได้ว่าประสิทธิภาพของวัคซีน ในการป้องกันการติดเชื้อและอาการป่วยทั่วไปนั้นลดน้อยลง”

“สังเกตได้ว่าการเสื่อมถอย เกิดขึ้นพร้อมกับการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าในอิสราเอล” กระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอลกล่าว

“อย่างไรก็ตาม วัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพอยู่ที่ประมาณ 93% สำหรับการป้องกันการอาการรุนแรงและผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล”

พบเนื้อหาที่คุณต้องการให้เอเอฟพีตรวจสอบ?

ติดต่อเรา